อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ForexProsThe Exchange Rates are powered by the Forex Portal - Forexpros.com
ForexProsThe Rates are Powered by Forexpros - The Forex Trading Portal

ข่าวสารจาก 1step to success

ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุก ท่าน 1step to success เป็นผู้ให้บริการระบบเทรดแบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถทำผลกำไร 30-50% ต่อเดือน โดยมีทีมงานวิจัยผลิตภัณฑ์ อยู่ในประเทศอเมริกา และประเทศอินโดนีเซีย ระบบของเรามีการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ๆ ให้กับลูกค้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เปิดบัญชีกับเราวันนี้รับส่วนลด 15 % สอบถามได้ที่ Msn : thanes.so@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ FOREX

ทำความรู้จักกับ Forex          Forex  (Foreign Exchange) คือ เป็นชื่อที่ใช้เรียกตลาดหลักทรัพย์เงินตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เป็นตลาดที่ทำการซื้อขายค่าเงินกันโดยตรงของตลาดเงินตราที่มีมูลค่า $1.9 Trillion (ล้านล้าน) ต่อวัน   เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน โดยหยุดการซื้อขาย แค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น   ตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าตลาดทางการเงินอื่นๆรวมกันถึง 46 เท่า  
          ในอดีตที่ผ่านมาการซื้อ–ขายแลกเปลี่ยนค่าเงินถูกจำกัดไว้เฉพาะแต่ในแวดวง ของธนาคารและสถาบันการเงินขนาดใหญ่เท่านั้นแต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นทำให้สามารถพัฒนาระบบการเทรดแบบ Online ที่ยอมให้นักลงทุนรายย่อยได้มีโอกาสเข้ามาทำการซื้อขายค่าเงินกันได้โดยตรงในตลาด Forex โดย Foreign Exchange เทรดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางการซื้อขายสามารถทำได้หลายช่องทางทั้งทางโทรศัพท์และทางระบบ Internet ทำให้มันเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่หรือเวลาใดๆในอดีตการลงทุนในตลาด Forex ยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆไม่ค่อยแพร่หลายเท่าที่ควรเพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงในการเปิดบัญชีกับทาง Brokers ยกตัวอย่างการเปิดบัญชีกับ www.forex.com กำหนดการลงทุนขั้นต่ำของ Standard account ไว้ที่ 2,500 $ และ 250 $ สำหรับ Mini account คนที่มีเงินลงทุนน้อยหมดสิทธิ์อย่างแน่นอน
        แต่ในปัจจุบัน ได้มีการซื้อขายผ่าน Internet โดย Brokers ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วโลก แต่โดยทั่วๆไปแล้วต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก จนในช่วงหลังมานี้ได้มีโบรกเกอร์หลายแห่งที่สามารถลงทุนด้วยเงินลงทุนที่ต่ำ ลงมาก ตั้งแต่หลักร้อยบาท  ไปจนถึงไม่จำกัดจำนวน   ทำให้เราสามารถนำเงินเพียงน้อยนิดไปลงทุนในตลาด Forex ได้อย่างง่ายดาย
           จนกระทั่งปี 2005 เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการตลาดเงินของโลกนั่นก็คือ  Marketiva  นั่นเอง! สิ่งที่ทำให้ Marketiva ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วคือการเปิดโอกาสให้กับคนทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันโดยเมื่อเราเข้าสู่โปรแกรม Streamster เราจะได้รับเงินทุนฟรีทันที 5$ สามารถใช้เทรดเพื่อเพิ่มมูลค่าได้เลย   และเงินเสมือนจริงเพื่อทดลองเทรดอีก 20,000$   ...และในโปรแกรมเล่นหุ้นยังมีห้องสนทนา มีห้อง thailand ด้วยคนไทยเล่นเยอะ  ซึ่งเราสามารถเข้าไปคุย แลกเปลี่ยน  สอบถาม ถามเทคนิคต่างๆ ถามว่าจะลงตัวไหนดีได้เลย

 รุปข้อดีของการทำกำไรในตลาด Forex
1
. ใช้เงินลงทุนต่ำ  พียงหลักร้อยบาทเท่านั้น
2. สามารถทำกำไรได้ตลอด 24 ชั่วโมง  ผ่านระบบ Internet  อยู่ที่ไหนก็ทำได้  ว่างตอนไหน ก็เข้าไปทำกำไรได้ตลอดเวลา
3. สามารถดำเนินการซื้อขายด้วยตัวเองได้ทันที  ไม่ต้องมีคนกลาง
4. สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้น และตลาดขาลง
5. สามารถศึกษาระบบเทรด หรือทดลองเทรด ผ่าน  Demo บนระบบเทรดจริง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนก่อน ไม่มีค่าใช้จ่าย
6. มีแหล่งให้ความรู้ฟรีมากมายบนอินเตอร์เน็ต  โดยคุณไม่ต้องเสียเงินเพื่อไปเข้าคอร์สอบรม
7. มีเครื่องมือช่วยในการทำกำไร   ด้วยระบบเทรดอัตโนมัติ  เพียงคุณเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ 24 ชม.  ก็เพียงพอ



 ช่วงเวลาทำการของตลาดตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้เราสามารถลงทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ โดยตลาดต่างๆ มีเวลาเปิดปิดดังนี้
ตามเวลาประเทศไทย ตลาดจะเปิดทำการตั้งแต่เวลาตี 4 ของเช้าวันจันทร์ และปิดตี 4 ของเช้าวันเสาร์ (รวม 120 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ตลาด USD = US Dollar เปิดเวลา 19.00 น. ถึงตี 3
ตลาด GBP = British Pound เปิดเวลา 14.00 - 22.00 น.
ตลาด EUR = Euro เปิดเวลา 13.00 - 21.00 น.
ตลาด CHF = Swiss Franc เปิดเวลา 13.00 - 21.00 น.
ตลาด JPY = Japanese Yen เปิดเวลา 7.00 - 14.00 น.
ตลาด
AUD = Australian Dollar เปิดเวลา 5.00 - 13.00 น...
 
.
 ประวัติ Forex กับ กฎหมายไทย
หลายท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่า Forex ในต่างประเทศมีมานานแล้ว และถูกกฎหมาย(ของต่างประเทศ) ซึ่งตลาดตรงนี้ใหญ่มาก
และถือเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนที่แท้จริง (ระดับสูงกว่าการเล่นหุ้น) แต่ทำไมไม่ทราบ ประเทศไทยกลับกลายเป็นว่าการลงทุน
ในด้าน Forex ผิดกฎหมาย ?? ====>  ลิกอ่านเพิ่มเติมอย่างละเอียด

บทสรุปจากบทความข้างต้น1. กรณีผู้ให้บริการอยู่ในประเทศไทย การทำธุรกรรมดังกล่าวโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีความผิดตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
2. กรณีผู้ให้บริการดังกล่าวอยู่ต่างประเทศ เมื่อบุคคลในประเทศต้องโอนเงินออกไปเพื่อชำระหนี้ตามธุรกรรมซื้อขายแลก เปลี่ยนเงิน จะไม่ได้รับอนุญาตให้โอนเงินออก และมีความผิดตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน คำว่าผู้ให้บริการ ที่เราๆ เข้าใจกันก็คือ Broker นะครับ ถ้าเล่นผ่านเน็ตส่วนใหญ่ข้อ 1 ก็ตัดทิ้งไปได้เลย

**  ผมแนะให้สมาชิกทราบกันนิด เค้าอาจจะเอาผิดคุณได้ ถ้ามีหลักฐานว่าคุณเล่น Forex ที่ต่างประเทศ โดยหลักฐานที่ว่าน่าจะเป็น การโอนเงินให้กับ Broker โดยตรง เช่น การไปโอนที่ธนาคาร หรือ การตัดบัตรเครดิต หรือการโอนเงินกลับมาในประเทศจาก Broker โดยตรง

** แต่วันนี้ คุณยังไม่ต้องกลัวนะครับถ้ายังไม่ได้ทำธุรกรรมกับการเงินกับทาง Broker โดยตรง เพราะหากเป็นแค่การใช้งานโปรแกรมจริงๆ แล้วไม่มีหลักฐานทางการเงิน ก็เหมือนกับคุณเล่นเกมส์ Poker เงินปลอมเท่านั้นเอง ไม่ผิดอะไร เป็นแค่ความบันเทิงใจของเรา
มไม่ใช่พวกต่อต้านกฏหมายนะครับ คิดว่ากฏหมายการฟอกเงิน หมายเกี่ยวกับ กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ต้องบอกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้ว ไม่ควรเหมารวมเอา Forex เป็นเครื่องมือ และน่าจะเปิดเสรีด้านนี้ไปได้แล้ว จะ ได้เจริญตามต่างประเทศที่เค้ามี Forex ถูกกฏหมายกัน ซะที ประเทศที่ไม่มีอะไรเลย เช่น สิงค์โปร์ ฮ่องกง ทำตัวเป็น Broker อย่างเดียวก็รวยกว่าเราแล้ว ทำไมเราทำให้ดีได้กลับไม่ทำแถมห้ามอีก


 
FOREX คืออะไร
ตลาด แลกเปลี่ยนเงินตราสากล “Foreign Exchange Market” เรียกโดยย่อว่า “FOREX” หรือ “Forex” หรือ “Retail forex” หรือ “FX” หรือ “Spot FX” หรือเพียงแค่ “Spot” เป็นสถาบันตลาดการเงินที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายเกิน 4 ล้านล้านเหรียญต่อวัน ถ้าเราเปรียบกับ 25 ล้านเหรียญ ต่อวัน ของปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นิวยอร์ค คุณจะเห็นความมหึมาของตลาดเงินตราสากล ความจริงแล้วมันก็ประมาณ 3 เท่าของตลาดหุ้นทุกชนิดในโลกรวมกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ของ Forex คนไทยส่วนใหญ่ เข้าใจคำว่า Forex ผิดไป ส่วนมาก เมื่อเอ่ยถึง Forex จะมีภาพพจน์ไปทางทางฟอกเงิน ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่า Forex เป็นแหล่งเงินที่มีความคล่องตัวสูงมาก จึงทำให้สิบแปดมงกุฏทั้งหลาย นิยมอ้างถึงในการชวนระดมทุนว่านำไปทำกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ หากอ่านต่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคุณจะมองเห็นภาพของฟอเร็กซ์กระจ่างขึ้น

ใช้อะไรในการค้าเงินตรา
คำ ตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ เงิน ตลาด ฟอเรกซ์ เป็นตลาดที่ทำการซื้อหนึ่งสกุลและขายอีกหนึ่งสกุลได้ในทันที สกุลค้าขายโดยผ่ายตัวแทน โบรกเกอร์ (Broker) หรือ ตัวแทน (Dealer) และซื้อขายกันเป็นคู่ต่างสกุลเงิน ยกตัวอย่างเช่น เงินดอล์ล่ายูโร กับ ดอล์ล่าอเมริกา หรือ เงินปอนด์อังกฤษ กับ เงิน เยน ญี่ปุ่น

เป็น เพราะว่าคุณไม่ได้ซื้อสิ่งของที่จับต้องได้ การค้าชนิดนี้อาจจะเข้ายากสักนิด อาจคิดเหมือนกับว่าการซื้อสกุลเงินเป็นการซื้อหุ้นของประเทศนั้น ๆ เมื่อคุณซื้อเงิน เยน ญี่ปุ่นเท่ากับคุณซื้อหุ้นเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น เพราะค่าของสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น เป็นผลสืบเนื่องโดยตรง ที่ตลาดเล็งถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศญี่ปุ่น

โดย ทั่วไปแล้วอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่ออีกสกุลเงินหนึ่ง สะท้อนถึงสถานภาพของเศรษฐกิจของประเทศนั้น เปรียบเทียบ กับอีกประเทศหนึ่ง ไม่ เหมือนตลาดหุ้น (Stock Market) ของนิวยอร์ค ตลาดฟอเร็กซ์ไม่มีสถานที่ตั้งหรือศูนย์กลาง หรือสำนักงานใหญ่ เหมือนตลาดหุ้นอื่น ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดอยู่ในประเภท Over the Counter (OTC) หรือ ธนาคาร “Interbank” ด้วยความจริงที่ว่าตลาดทั้งหมดเดินด้วยการสื่อสารอีเลคทรดนิค ภายในเครือข่ายของธนาคารๆ ตลอด 24 ชั่วโมง

ก่อน ปี ค.ศ. 1990 เฉพราะเศรษฐี และ องค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ที่สามารคเข้าเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ นี้ได้ คุณสมบัติขั้นต่ำคือคุณต้องมี 50,000,000.– (ห้าสิบล้าน) เหรียญสหรัฐ เพื่อเริ่มต้นที่จะเข้าทำการเทรด แรกทีเดียว ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดให้เป็นตลาดที่ใช้โดยธนาคาร และ องค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีไว้ให้พวกเราเข้าเทรดเล่นๆหรอกนะ อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าทางอินเตอร์เนท การเทรดฟอเรกซ์ได้ถูกจัดโดยเอเยนซี่ต่างๆ ให้เข้าทำการเทรดได้ ด้วยบัญชีรายย่อย สำหรับพวกเรา ๆ ท่าน ๆ

ทั้งหมดที่ท่านต้องมี ก็เพียงแต่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และ บริการไฮสปีส อินเตอร์เนท และข้อมูลต่าง ที่คุณหาได้จาก http://pipsrunner.blogspot.com

http://pipsrunner.blogspot.com สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อ แนะนำ ทัศนะ และ ความเข้าใจด้านต่างๆ ที่จำเป็นเป็นแก่ผู้ที่เพิ่งเริ่ม หรือจะเริ่ม ทำการเทรด ฟอร์เรกซ์ ในลักษณะ สบาย ๆ ง่าย ๆ ที่เข้าใจ

Spote Market คืออะไร ? ตลาดสปอตมาร์เกต ก็คือตลาดที่ทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามราคาปัจจุบัน Forex จัดอยู่ในประเภท สปอตมาร์เกต เพราะใช้ค่าของตัวเงินในการเทรดนั่นคือเงิน ต่างจาก Future Market ที่เราได้ยินกันในประเภทซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี่สื่อสารที่ทันสมัย ทำให้ Spote Market ได้รับความนิยิม เหนือ Futrue Market แบบ ขาดลอย เพราะผู้เทรดใน Future Market จำต้องพิจารณาควบถึงอุปสงค์ของสินค้าเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตด้วย ซึ่งนับวันจะได้รับความนิยมน้อยลง การทำการซื้อขายฟอร์เรกซ์ ผู้เทรดคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่งคง มั่งคั่งของประเทศที่เลือกเทรดและประเทศคู่ค้า จะเห็นว่าการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า Future Market ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังต้องคำนึงถึงอุปสงค์ของสินค้านั้น ๆ อีกด้วย การวิเคราะห์แนวโน้มราคาของสินค้าเกษตรจึงดูเหมือนกับไม่ใช่เป็นของหมู ๆ เลย Future Market จำถูกจำกัดอยู่เฉพราะในวงการพ่อค้าคนกลางของสินค้านั้น ๆ

สกุลเงินอะไรที่ใช้ในการเทรด ?
สกุลเงินที่เป็นที่นิยมพร้อมด้วยชื่อย่อดังรายการต่อไปนี้.-
อักษรย่อ ประเทศ สกุลเงิน ชื่อเรียก
USD United States Dollar Buck
EUR Euro members Euro Fiber
JPY Japand Yen Yen
GBP Great Britain Pond Cable
CHF Switzerland Franc Swissy
CAD Canada Dollar Loonie
AUD Australia Dollar Aussie
NZD New Zealand Dollar Kiwi
อักษรย่อของสกุลเงินจะเป็นอักษร 3 ตัว เสมอ 2 ตัวแรกบ่งถึงประเทศ ตัวสุดท้ายหรือตัวที่ 3 บ่งถึงชื่อสกุลเงินที่ประเทศนั้นใช้

เมื่อไหร่ที่สกุลเงินถูกทำการเทรด ?Spot FX market หริอ ตลาดสปอต เป็นเอกลักษณ์ในตลาดโลก เหมือนซุปเปอร์มาเก็ต ที่เปิดตลาด 24 ชั่วโมงต่อวัน ศูนย์การเงินเปิดให้บริการทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก ธนาคาร และ สถาบันการเงิน สำหรับบริการทั้งวันทั้งคืนอาจหยุดเพียงชั่วขณะช่วงสุดสัปดาห์
ตลาดแลก เปลี่ยนเงินตราหมุนตามดวงอาทิตย์รอบโลก ซึ่งคุณสามารถเทรดได้ในเวลากลางคืน (หากว่าคุณใกล้เคียงมนุษย์ค้างคาว) หรือ ช่วงเช้าตรู่ (ถ้าคุณชอบหากินดั่งนก) แต่ควรตระหนักไว้หน่อยว่า นกไม่จำเป็นต้องจับหนอนได้เสมอไป ในตลาดเทรด คุณอาจได้หนอนมาเหมือนกัน แต่เจ้านกสกปรกตัวใหญ่กว่าอาจฉกหนอนของคุณต่ออีกทีก็ได้
ช่วงเวลา นิวยอร์ค เวลาโลก
โตเกียว เปิด 7:00 pm. 0:00
โตเกียว ปิด 4:00 am. 9:00
ลอนดอน เปิด 3:00 am. 8:00
ลอนดอน ปิด 12:00 pm. 17:00
นิวยอร์ค เปิด 8:00 am. 13:00
นิวยอร์ค ปิด 5:00 pm. 22:00

ตลาด ฟอร์เร็กซ์ (OTC) over the counter
ฟอร์เร็กซ์ OTC ว่าไปแล้วเป็นตลาดเทรดเงิน ที่ใหญ่และป๊อปปูล่าที่สุดในโลก !!!
ทำ การเทรดโดยบุคล และ องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ในตลาด หน้าเค้าเตอร์ (OTC) สมาชิกผู้เทรดตัดสินใจว่าจะเทรดสกุลเงินไหน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความน่าเชื่อถือ ของราคา และประวัติ ของสุกลนั้นต่ออีกสกุลหนึ่ง
ผัง แสดงค่านิยม ของผู้เทรด ต่อสกุลเงิน แสดงว่า เงินดอล์ล เป็นเจ้าศูนย์กลางแห่งการเทรดของบรรดานักเทรดทั่วโลกถึง 89%ของการเทรดทั้งหมด ยูโรมาเป็นที่สอง และญี่ปุ่นมาเป็นที่สาม

ทำไมไม่ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ มาเทรดฟอร์เร็กซ์ทำไม?
* มี ผลประโยชน์นานัปการสำหรับการเทรดฟอร์เร็กซ์ ด้านล่างนี้เป็นเพียงเหตุผลบางส่วนที่ ทำไมคนส่วนใหญ่เลือกเทรด ฟอร์เร็กซ์ ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ไม่มีค่าเคลียริ่ง ไม่มีค่าแลกเปลี่ยน ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่มีค่าโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ได้ค่าตอบแทนจาก อัตราค่าต่างของราคาเสนอซื้อกับราคาเสนอขาย ที่เรียกว่า bid-ask spread

* ไม่มีพ่อค้าคนกลาง การเทรดผ่านตลาดสปอต ทำให้ไม่สามารถมีพ่อค้าคนกลาง โดยที่คุณสามารถเทรดโดยตรงกับตลาดที่รับผิดชอบตามราคาที่กำหนดในชาร์ตอัตรา แลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน

* ไม่จำกัดขนาดของล๊อต ในตลาดเทรดปัจจุบัน ขนาดของล๊อตมีขนาดต่างกัน ขนาดแสตนดาร์ด สำหรับเทรดซิลเวอร์คือ น้ำหนัก 5,000 ออนซ์ ในตลาดสปอตฟอร์เร็กซ์ คุณสามารถเลือกขนาดล๊อตได้เอง ทำให้ผู้เทรดสามารถเลือกล๊อตขนาดเล็กถึง 250 เหรียญ (อย่างไรก็ตามเราจะพูดถึงอีกทีว่า ขนาดล๊อต 250 เหรียญไม่ใช่ว่าดี)

* ค่าเสปรดต่ำ ค่ารายการบัญชี (bid/ask spread) โดยทั่วไปจะต่ำกว่า 0.1 % ในสภาวะปกติ ดีลเลอร์ใหญ่ค่าเสปรดอาจต่ำเพียง .07% โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับขนาดของล๊อตที่คุณเลือก เราจะอธิบายในภายหลัง

* ตลาด 24 ชั่วโมง ไม่มีการที่จะต้องรอที่ทำการเปิด จากเช้าตรู่วันจันทร์ยันเช้าตรู่วันศุกร์ตามเวลาบ้านเรา ตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่เคยหลับ ถ้าคุณเทรดพาร์ทไทม์ คุณสามารถเลือกที่จะ เทรด เวลาไหนก็ได้ เช้า สาย บ่าย เย็น หรือ ขณะที่คนอื่นกำลังฝันหวาน

* ไม่สามารถปั่นตลาดได้ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินฟอร์เร็กซ์ ใหญ่โตมโหรถึกมากจนไม่มีเศรษฐีหรือองค์กรไหน ๆ (แม้กระทั่วเซนทรัลแบงค์) ก็ตาม สามารถที่จะตรึงราคาของสกุลเงินใด ๆ ไว้ได้เกินชั่วขณะ

* Levelage เลเวลเลจ ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ คือจำนวนมาร์ยิน หรือเครดิทที่คุณจะได้จากดีลเลอร์ เลเวลเลจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถทำกำไรให้คุณได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ให้เลเวลเลจคุณในอัตรา 200 ต่ด 1 นั่นหมายความว่าคุณวางเงินเพียง 50 ดอล์ล คุณสามารถเทรดหรือซื้อขายได้ถึง 10,000 ดอล์ล ในทำนองเดียวกัน 500 เหรียญ ก็สามารถเทรดถึง 100,000 เหรียญ ตามสัดส่วน แต่เลเวลเลจ ก็คือดาบสองคมเช่นกัน หากปราศจากการจัดการเงินที่ดี อัตราเลเวลเลจที่สูงเกินอาจทำให้เสียหายมากพอกับที่จะได้กำไรเช่นกัน

* แหล่งเงินที่คล่องตัวที่สุด เหตุที่ฟอร์เร็กซ์ ใหญ่โตมโหราฬมาก มันมีความคล่องของการหมุนเวียนเงินเช่นกัน นั่นหมายความว่า ภายใต้สถานการณ์ปกติ จากการแค่คลิ๊กเมาซ์ที่ปลายนิ้ว สามารถซื้อหรือขายได้ทันที คุณไม่ต้องรอจนกว่าจะมีคู่ซื้อเหมือนหุ้นสินทรบ้านเรา ที่บางครั้งต้องเทขายด่วนที่สุดแต่หาคนซื้อไม่ได้ เพราะมีแต่คนเทขาย อิอิ… นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งกำหนดการซื้อการขายบนหน้าจอ ตามราคาที่คุณต้องการและ ระบุราคาปิด หรือตั้งราคาจำกัดการขาดทุนได้อีกด้วย

* เปิดบัญชี ดีโม ทดลองเล่นในสภาวะตลาดแท้จริงได้ฟรี มีข่าว ราคา และการวิเคราห์ พร้อมบนหน้าจอมอนนิเตอร์ในห้องทำงานหรือในบ้านอันสุขสบายของคุณ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เสนอฟรีให้ท่านสามารถทดลองเทรดเหมือนจริง เพื่อเพิ่มทักษะ และความมั่นใจ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สังเวียนและเทรดด้วยเงินแท้ ๆ

* บัญชีเทรด Mini และ Micro คุณอาจจะคิดว่าถ้าจะเริ่มเข้าเทรด อาจต้องใช้เงินเป็นตัน ความจริงแล้ว ถ้าเทียบกับการซื้อหุ้นอุตสาหกรรม ไม่ใช่เลย โบรกเกอร์ ออนไลน์ ของฟอร์เร็กซ์ มีการเสนอ บัญชี Micro และ Mini สำหรับผู้มีเบี้ยน้อยเงินน้อย ไม่กี่เหรียญก็เข้าเทรดได้ เราไม่ได้พูดว่าจะต้องมีเงินอย่างต่ำเท่าไหร่จึงสมควรที่จะเปิดบัญชเทรด แต่ข้อเสนอนี้ทำให้ ฟอร์เร็กซ์ สามารถเข้าถึงได้จากคนทั่วไปหรือจนกว่าทั่วไปซะอีก ที่ไม่มีเงินทุนเป็นก้อนเป็นกำที่จะเริ่มเทรด เหมือนหุ้นสินทรบ้านเรา

ต้องมีเครื่องมืออะไรในการเริ่มเทรดฟอร์เร็กซ์?
คอมพิวเตอร์ ซักเครื่องพร้อมไฮสปีดอินเตอร์เนท ซึ่งแทบทุกบ้านก็คงมีอยู่พร้อมแล้ว และข้อมูลในเวป แค่นั้นเอง
.
ลองดูวีดีโอด้านล่าง




กุญแจสำคัญในการเทรด FOREX







......................................................................................................................

สอนการใช้งาน MT4 โปรแกรมช่วยวิเคราะห์การเข้าเทรด


 MetaTrader4 โปรแกรมเก่าแก่ ที่มีการพัฒนาต่อยอดด้านเทคนิค กันมายาวนาน
และมีการพัฒนา Indicator มามากมาย เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ทางเทคนิค

โปรแกรม MT4 ( Meta Trader 4)เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับสำหรับการเทรด ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถมากมาย และใช้ง่ายมาก
เราสามารถติดตั้งโปรแกรมเทรด MT4 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีก่อน   เรียกว่า โปรแกรม Demo ( โปรแกรมทดลอง ) 

ารติดตั้งโปรแกรมเทรด MT41. คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลด  DownLoad Now หรือ คลิกที่รูปภาพด้านล่่างก็ได้



































2.จากนั้นก็ทำการดาวโหลด ไฟล์ลงที่เครื่องของท่าน เมื่อดาวโหลดเสร็จแล้วจะปรากฎ หน้าต่าง set up ขึ้นมา
ให้กด Open หรือ Run เพื่อทำการติดตั้ง จากนั้นก็เข้าสู่ การ ติดตั้ง


3.เมื่อเข้าสู่การติดตั้งแล้วเลือก English(United State) ซึ่งได้ตั้งไว้แล้ว จากนั้นก็กด Next  ดังรูป
































4.คลิกที่ Next ไปเรื่อย จนถึงขั้นตอนสุดท้ายกด ปุ่ม Finish แล้วรอโปรแกรม สักครู่ โปรแกรมก็เปิดหน้าต่างขึ้นมา
ให้คลิก Cancel ดังรูปด้านล่าง

































5.  เมื่อคลิ๊กที่ Cancel แล้วจะมีหน้าต่าง Log in ขึ้นมา ให้ ใส่ Login  และ Trader password  ที่ทางโบรกเกอร์ได้กำหนดให้เรา
ตั้งแต่เมื่อเราได้สมัคร และ เลือก Server ที่ทางโบรกเกอร์ได้กำหนดไว้ด้วย จากนั้นก็ทำการ Login


































6. มาถึงขั้นตอนนี้ ท่านสามารถ เข้าสู่โปรแกรมเทรด MT4 ได้แล้ว ต่อไปนี้เราจะมาศึกษารายละเอียดภายในโปรแกรม และวิธีการเทรด  ดังรูปด้านล่างนี้














































รายละเอียดในส่วนต่างๆของ Program MT4 ส่วนที่ 1 จะเป็น Menu Bar และ Tool Bar  เป็นส่วนหัวของโปรแกรม มีเครื่องมือต่างๆมากมาย
                ที่ใช้ในการวิเคราะห์ เครื่องมือแต่ละชิ้น จะแนะนำในหัวข้อต่อไป


ส่วนที่ 2  Market watch เป็นส่วนแสดง รายการคู่เงินต่าง ๆ  แสดง ราคาของค่าเงินต่างๆ เช่น แสดง ตัวเลข ของ ค่าเงิน

ส่วนที่ 3   Navigator เป็นส่วน ที่แสดง ชื่อ และ เลขAccount ของเรา 
-  Account  คือ ส่วนที่แสดงเลขบัญชีเทรด  และชื่อบัญชีเทรดของเราที่ใช้งานอยู่
-  Indicator คือรายการเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์กราฟ การขึ้นลงของกราฟ  ที่มีมากับระบบ MT4
-  Custom Indicator  คือ รายการ indicator ที่เรา add เข้ามาเพิ่มนอกเหนือจากที่ระบบมีไว้ให้เรา
หากเราต้องการเพิ่ม indicator ใน MT4 ให้ copy ไฟล์ไปวางที่ C:\Program Files\ชื่อโบรคที่เราเทรด\experts\indicators
-  Expert Advisors (EA)  คือ ระบบเทรด ที่ทำรายการซื้อขายให้เราอัตโนมัติ  แค่เปิดการทำงานทิ้งไว้เฉย ๆ 24 ชม.
 ากเราต้องการเพิ่ม Expert Advisor ใน MT4 ให้ copy ไฟล์ไปวางที่ C:\Program Files\ชื่อโบรคที่เราเทรด\experts

 ส่วนที่ 4   เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการเทรดของเรา และเงินของเรา จะอยู่ที่ แท็บ Trade
                 และ เมื่อเราปิด Order แล้ว ผลการเทรดจะไปอยู่ที่ Account  History

 ส่วนที่ 5   เป็น กราฟของเรา ส่วนนี้สำคัญมาก เอาไว้วิเคราะห์ การขึ้นลงของราคาค่าเงินต่างๆ ซึ่งรายละเีอียดการดู
                 กราฟ จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
 


ารใช้คำสั่งซื้อ-ขายในโปรแกรม Mt4
ั้นตอนการซื้อขาย ในโปรแกรม Mt41. กด  New order ด้านบนของจอ  ดู Symbol  คือ คู่เงินที่เราต้องการทำการซื้อขาย 


    2.  ใส่จำนวน lot ที่ต้องการซื้อขาย  voloum คือจำนวน lot ที่เราจะทำการซื้อ - ขาย สามารถปรับเปลี่ยนหรือแก้ด้วยการคลิกแล้วเปลี่ยนเองได้
    3. กดปุ่ม sell  ถ้าต้องการซื้อลง  หรือ กดปุ่ม Buy  ถ้าต้องการซื้อขึ้น
    4. รอจนกว่าระบบจะทำการซื้อขายให้แล้ว จะขึ้นดังรูป  แล้วกด ok


 5. ดูในส่วนของ order trade  จะขึ้น order ที่เราซื้อ-ขาย  ถ้าไม่มีหน้าต่างในส่วนนี้ ให้กด ctrl+T

ารปิด order ที่ทำการซื้อขาย 1.ให้กด ไปที่ order ที่ต้องการปิด แล้วดับเบิ้ลคลิก 2 ครั้ง จะได้หน้าต่างดังรูป2. กด close  ปุ่มสีเหลือง เท่านี้คุณก้จะปิด ออร์เดอร์ นั้นแล้ว



ขอบคุณที่มาของข้อมูลบางส่วน และ ภาพประกอบ
http://www.forexthai.com   และ  http://fx-dd.makewebeasy.com


10 คำถามของคนอยากรวย...โดนใจจริง ๆ


10 คำถามของคนอยากรวย...... เมื่ออ่านจบแล้ว  คุณคิดว่า  คุณตอบคำถามตัวเองได้หรือยัง


เมื่อ คืนผมออกไปสังสรรค์ กับรุ่นน้องคนนึง มีการพบปะพูดคุยเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งมีสาระและไม่มีสาระ แต่ที่เอามาเขียน Post นี้มีสาระนะครับ เผื่อว่ามันจะเป้นประโยชน์ต่อผู้ อ่านนะครับ จากที่ผมได้คุยกับรุ่นน้องคนนี้ มีคำถามนึงที่ผมชอบในคำถามของเขา “พี่ครับ ทำอย่างไร ผมถึงจะรวย” ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับ ว่าตัวผมเองก็ ไม่ได้รวยอะไร แค่มีกินมีใช้ไม่ขัดสน และมีเงินลงทุนบ้างแต่มีจำนวนจำกัดเท่านั้นเอง ตัวผมเองใคร่ควรในคำถาม นับว่าเป็นคำถามที่ดีทีเดียว  ผมก็เลยตอบเขาไปว่า เป็นคำถามที่ดี และถามได้ถูกต้องมาก พี่จะเปรียบเทียมคำถามให้ฟัง
ทำอย่างไร ผมถึงจะรวย :การ ที่ถามแบบนี้แสดงว่าเราอยากรวยจริงๆโดยต้องเกิดจากการกระทำ นั่นคือทำอย่างไรถึงจะรวย จะต้องทำอะไร เพื่อให้เกิดการมีรายรับมากๆขึ้น อย่างนี้ซิ มีโอกาสรวยแน่นอน
เมื่อไหร่ผมจะรวย:การ ถามแบบนี้ก็แสดงว่าต้องการจะรวย แต่ไม่ต้องการทำอะไรทั้งสิ้น นั่งรอความรวย ถูกล็อตเตอรี่ หรือถูกรางวัล ช่างเพ้อฝัน  แล้วก็ ฝันไปเถอะว่าจะรวย
ผมก็เลยเปรียบเทียบความคิดให้เขาฟังซื่งผมก็อ่านมาอีกที แต่บังเอิญว่าอ่านก่อนเลยสอนน้องเขาได้ ยังไงลองอ่านดูนะ ครับ

rich


สิบข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง
ข้อหนึ่ง
เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็น เวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง
ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มี แนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่ มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้
ข้อสี่ คน รวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถ สร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความ ผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้ม ค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำ ไปสู่ความร่ำรวยได้
ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อย กว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้
ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อย บอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต
ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนใน ทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็น หลัก
ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้อง เสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขา จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
และสุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

ตัวอย่างการบริหารเงินทุน Money Management


อัตราค่าเงินบาท/1$            35.00  บาท   ลงทุน  10 % ของเงินทุน 
เงินลงทุนเริ่มต้น $100.00   $  ทำกำไร  40  PIPS ต่อวัน 
คำนวณเป็นเงิน       3,500.00 บาท
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $100.00 $104.00 $108.16 $112.49 $116.99
ลงทุน $10.00 $10.40 $10.82 $11.25 $11.70 สัปดาห์ที่ 1
ได้ $4.00 $4.16 $4.33 $4.50 $4.68
$121.67       4,258.29  (สี่พันสองร้อยห้าสิบแปดบาทยี่สิบเก้าสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์  เดือน
เงินทุนทั้งหมด $121.67 $126.53 $131.59 $136.86 $142.33
ลงทุน $12.17 $12.65 $13.16 $13.69 $14.23 สัปดาห์ที่ 2 ที่
ได้ $4.87 $5.06 $5.26 $5.47 $5.69
$148.02       5,180.85  (ห้าพันหนึ่งร้อยแปดสิบบาทแปดสิบห้าสตางค์)  1
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $148.02 $153.95 $160.10 $166.51 $173.17
ลงทุน $14.80 $15.39 $16.01 $16.65 $17.32 สัปดาห์ที่ 3
ได้ $5.92 $6.16 $6.40 $6.66 $6.93
$180.09       6,303.30  (หกพันสามร้อยสามบาทสามสิบสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $180.09 $187.30 $194.79 $202.58 $210.68
ลงทุน $18.01 $18.73 $19.48 $20.26 $21.07 สัปดาห์ที่ 4
ได้ $7.20 $7.49 $7.79 $8.10 $8.43
$219.11       7,668.93  (เจ็ดพันหกร้อยหกสิบแปดบาทเก้าสิบสามสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $219.11 $227.88 $236.99 $246.47 $256.33
ลงทุน $21.91 $22.79 $23.70 $24.65 $25.63 สัปดาห์ที่ 1
ได้ $8.76 $9.12 $9.48 $9.86 $10.25
$266.58       9,330.43  (เก้าพันสามร้อยสามสิบบาทสี่สิบสามสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์  เดือน
เงินทุนทั้งหมด $266.58 $277.25 $288.34 $299.87 $311.87
ลงทุน $26.66 $27.72 $28.83 $29.99 $31.19 สัปดาห์ที่ 2 ที่
ได้ $10.66 $11.09 $11.53 $11.99 $12.47
$324.34     11,351.89  (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบเอ็ดบาทแปดสิบเก้าสตางค์)  2
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $324.34 $337.31 $350.81 $364.84 $379.43
ลงทุน $32.43 $33.73 $35.08 $36.48 $37.94 สัปดาห์ที่ 3
ได้ $12.97 $13.49 $14.03 $14.59 $15.18
$394.61     13,811.31  (หนึ่งหมื่นสามพันแปดร้อยสิบเอ็ดบาทสามสิบเอ็ดสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $394.61 $410.39 $426.81 $443.88 $461.64
ลงทุน $39.46 $41.04 $42.68 $44.39 $46.16 สัปดาห์ที่ 4
ได้ $15.78 $16.42 $17.07 $17.76 $18.47
$480.10     16,803.57  (หนึ่งหมื่นหกพันแปดร้อยสามบาทห้าสิบเจ็ดสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $480.10 $499.31 $519.28 $540.05 $561.65
ลงทุน $48.01 $49.93 $51.93 $54.00 $56.17 สัปดาห์ที่ 1
ได้ $19.20 $19.97 $20.77 $21.60 $22.47
$584.12     20,444.11  (สองหมื่นสี่ร้อยสี่สิบสี่บาทสิบเอ็ดสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์  เดือน
เงินทุนทั้งหมด $584.12 $607.48 $631.78 $657.05 $683.33
ลงทุน $58.41 $60.75 $63.18 $65.71 $68.33 สัปดาห์ที่ 2 ที่
ได้ $23.36 $24.30 $25.27 $26.28 $27.33
$710.67     24,873.39  (สองหมื่นสี่พันแปดร้อยเจ็ดสิบสามบาทสามสิบเก้าสตางค์)  3
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $710.67 $739.10 $768.66 $799.41 $831.38
ลงทุน $71.07 $73.91 $76.87 $79.94 $83.14 สัปดาห์ที่ 3
ได้ $28.43 $29.56 $30.75 $31.98 $33.26
$864.64     30,262.28  (สามหมื่นสองร้อยหกสิบสองบาทยี่สิบแปดสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $864.64 $899.22 $935.19 $972.60 $1,011.50
ลงทุน $86.46 $89.92 $93.52 $97.26 $101.15 สัปดาห์ที่ 4
ได้ $34.59 $35.97 $37.41 $38.90 $40.46
$1,051.96     36,818.70  (สามหมื่นหกพันแปดร้อยสิบแปดบาทเจ็ดสิบสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $1,051.96 $1,094.04 $1,137.80 $1,183.32 $1,230.65
ลงทุน $105.20 $109.40 $113.78 $118.33 $123.06 สัปดาห์ที่ 1
ได้ $42.08 $43.76 $45.51 $47.33 $49.23
$1,279.87     44,795.57  (สี่หมื่นสี่พันเจ็ดร้อยเก้าสิบห้าบาทห้าสิบเจ็ดสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์  เดือน
เงินทุนทั้งหมด $1,279.87 $1,331.07 $1,384.31 $1,439.68 $1,497.27
ลงทุน $127.99 $133.11 $138.43 $143.97 $149.73 สัปดาห์ที่ 2 ที่
ได้ $51.19 $53.24 $55.37 $57.59 $59.89
$1,557.16     54,500.66  (ห้าหมื่นสี่พันห้าร้อยบาทหกสิบหกสตางค์)  4
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $1,557.16 $1,619.45 $1,684.23 $1,751.60 $1,821.66
ลงทุน $155.72 $161.94 $168.42 $175.16 $182.17 สัปดาห์ที่ 3
ได้ $62.29 $64.78 $67.37 $70.06 $72.87
$1,894.53     66,308.39  (หกหมื่นหกพันสามร้อยแปดบาทสามสิบเก้าสตางค์) 
 จันทร์   อังคาร   พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์ 
เงินทุนทั้งหมด $1,894.53 $1,970.31 $2,049.12 $2,131.08 $2,216.33
ลงทุน $189.45 $197.03 $204.91 $213.11 $221.63 สัปดาห์ที่ 4
ได้ $75.78 $78.81 $81.96 $85.24 $88.65
$2,304.98     80,674.30  (แปดหมื่นหกร้อยเจ็ดสิบสี่บาทสามสิบสตางค์) 


บทเรียนโดย   the_greenday
เอื้อเฟื้อโดย    ThailandInvestorClub.com  ( ผู้สนับสนุน  และเจ้าของพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ )


บทเรียนที่ 1 : มองแนวโน้มให้ออกก่อน

หลักการมองแนวโน้ม เริ่มจากการมองเทรนด์ให้ออกก่อนเสมอ เทรนด์ในตลาดจะมีแค่ 3 แบบ
  • Up Trend   แบบขาขึ้น จะวิ่งขึ้นอย่างเดียว   (เหมาะกับการเข้าเทรด)
  • Down Trend แบบขาลง จะวิ่งลงอย่างเดียว (เหมาะกับการเข้าเทรด)
  • Sideways Trend แบบขนานเคลื่อนตัวไปทางด้านข้างแบบฟันปลา ขึ้นๆลงๆ พูดง่ายๆกราฟวิ่งไม่สวย ไม่มีแนวโน้ม (ตลาดช่วงนี้ นักลงทุนมักจะขาดทุนเสมอๆ) sideways แยกออกได้เป็น sideways ในช่วง (พักตัว) เทรนด์ขาขึ้น sideways ในช่วง(พักตัว)เทรนด์ขาลง
เมื่อมองแนวโน้มแล้วรู้ว่าแบบนี้คือ ขึ้น ลง หรือด้านข้างแล้ว ต่อมาก็มาเรียนรู้การเริ่มสร้างแนวโน้ม 

ถามตอบท้ายบทเรียนที่ 1 : มองแนวโน้มให้ออกก่อน

ใน ช่วงที่หมดเทรนด์รอบนั้นๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง เราควรจะรอดูกราฟวิ่งก่อนมั๊ยครับ หรือว่าเราสามารถเข้าเทรดได้เลย เพราะดูจากบางกราฟแล้ว บางทีก็มี sideways บางทีก็เข้าต่อได้เลย ช่วยแนะนำเพิ่มเติมให้ด้วยครับ
รอ ดูการวิ่งก่อนครับ  ดูการสร้างแนวโน้ม ให้เกิดการสร้างแนวโน้มก่อน คือต้องฝึกมองให้ออกด้วยตาเปล่า ฝึกลากบ่อยๆ แล้วเราจะเริ่มเข้าใจมันไปเองครับ เคยสังเกตมั๊ยครับ ถ้ามีการสร้างแนวโน้ม คือ ขาขึ้นถ้าขึ้นก็เกิด L ก่อน แล้ววิ่ง H แล้วลงมาเป็น HL พอเกิดตรงนี้ได้แล้วดีดขึ้นไปต่อ คือ การเริ่มต้นของเทรนด์ขาขึ้นแล้วกราฟมักจะวิ่งขึ้นต่อไปเสมอ (มาให้ทันช่วงนี้ครับ อย่าตกรถ)
แต่ ถ้าสังเกตให้ดี ถ้าไม่มีการสร้างแนวโน้มเทรดไปก็เท่านั่นครับ เพราะจะไม่มีแรงซื้อแรงขาย กราฟจะไม่วิ่งพุ่งไปแบบที่มีแนวโน้ม (sideways นั่นเอง) ที่นักลงทุนขาดทุนกันบ่อยก็เพราะรีบร้อนซื้อขายกันนี่แหละครับ เริ่มมองว่าเราเข้าเทรดที่ช่วง รอบไหนอยู่ ถ้าไปเทรนด์ซื้อในรอบขาขึ้น (โอกาสกำไรก็สูง) ไปเทรดในรอบช่วง sideways (โอกาสเสียเวลาและขาดทุนก็สูง) แต่ถ้าไปเทรดช่วงรอบขาลง (โอกาสกำไรก็สูง) นี่คือความสำคัญอันดับแรกที่ควรรู้ก่อนเข้าเทรด

บทเรียนที่ 2 : รู้แนวรับแนวต้าน
แนว รับ Support บอกถึงการที่ราคาลงมาที่แนวรับนั้นๆ แล้วแนวรับนั้นรับอยู่เลยดีดกลับขึ้นไปต่อ ส่วนแนวต้าน Resistance บอกถึงการที่ราคาวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านนั้นๆ แล้วแนวต้านนั้นต้านอยู่เลยดีดกลับลงไปต่อ เรียกกันง่ายๆ แนวรับเพื่อไม่ให้ลงต่อ แนวต้านเพื่อไม่ให้ขึ้นไปต่อ
แนว รับ แนวต้าน สามารถบอกถึงเป้าหมายในอนาคตได้ คือ อดีตเคยขึ้นไปเป็นแนวต้านตรงไหน อนาคตก็จะขึ้นไปที่แนวต้านเดิมที่เคยขึ้น เช่นเดียวกัน อดีตเคยลงไปตรงไหนเป็นแนวรับ อนาคตก็จะลงไปที่แนวรับเดิมที่เคยลงไปถึง เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นรอบๆของการขึ้น ลง อดีตเคยเป็นยังไงอนาคตกราฟก็จะวิ่งไปที่เดิมที่เคยขึ้นและลงเสมอ ๆ
Double top เกิดจากการที่แนวต้าน (อดีต) และแนวต้านปัจจุบันมาชนที่เดียวกันมักจะดีดตัวกลับลงแรงๆ เสมอ คล้ายๆ กับตัว M บางครั้งจะเป็นตัว M หางยาว
double_top
ถามตอบท้ายบทเรียนที่ 2 : รู้แนวรับแนวต้าน
มีคำถามเพิ่มนิดหน่อยครับ – 1 cycle ของราคาเริ่มนับที่ไหน สิ้นสุดที่ไหน ขอบคุณมากครับ
ฝึก มองวัฏจักรของรอบการขึ้นลง และด้านข้างให้ออก กราฟจะวิ่งเป็นรอบ ๆ เสมอ ๆ เมื่อเข้าใจวัฏจักร เราก็สามารถเลือกอาวุธได้ถูกว่าเรากำลังเล่นกับแนวโน้มใดอยู่
ถ้าหลุดเทรนด์แบบแท่งเดียวยาว ๆ ควรจะตัดขาดทุนทันทีหรือจะรอเด้งกลับดีครับ
การ ตั้ง stop loss ควรตั้งไว้เลยก็จะดีครับ   มีวินัยไม่มีวันขาดทุน กล้าที่จะยอมรับการตัดขาดทุน  การไม่มีวินัยคือการขาดทุนที่แท้จริง ดูตามรูปครับ
cut_loss
เวลา มันทะลุคือให้ส่วนไหนมันทะลุไปหรือครับ และควรดู TF ไหนว่ามันทะลุแล้ว  บางทีพอมันทะลุไปทั้งแท่ง เข้าปุ๊ป กลับปั๊ป เสียตลอด พอเวลามันทะลุแบบยาวๆ ก็มักจะเข้าไม่ทัน  พอจะมีวิธีบอกมั้ยครับ ว่าทะลุแล้วควรเข้าที่ตรงไหน

บทเรียนที่ 3 : ฝึกลากรูปแบบต่างๆ

หลังจากที่ฝึกหัดการมองเทรนด์แนวโน้มให้ออกแล้ว ก็เริ่มไปฝึกการมองหาแนวรับ-แนวต้าน
รู้จักกันดีแล้วก็เริ่มมองหาจังหวะเข้าซื้อขาย ฝึกกันบ่อย ๆ ครับ มองหาให้เจอบ่อย ๆ
นานๆไป จะทำให้เรามองภาพได้เร็วขึ้นและมองหาจังหวะได้ดีกว่านักลงทุนคนอื่น

ต่อไปก็มารู้จักรูปแบบจากการใช้เส้น trend line ในการลากรูปแบบต่างๆที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า chart patterns
เราจะมาฝึกลากรูปแบบแรก คือ symmetrical triangle เป็นรูปแบบสามเหลี่ยมที่สมดุลย์กัน
ลักษณะจะลากเอียงขาขึ้นและขาลงได้เอียงพอๆกัน

ในกรอบสามเหลี่ยมนั้นจะเห็นว่าเปิดกว้างแล้วค่อยๆ เล็กลงจนทำมุมเป็นสามเหลี่ยม
เป็นการเล่นราคากันระหว่างแรงซื้อและแรงขายที่ค่อยๆ บีบตัวจนเกิดรูปแบบดังกล่าว

เมื่อการบีบตัวในกรอบสามเหลี่ยมแคบลง โอกาสที่จะเกิดการระเบิดของราคาก็ยิ่งสูงขึ้น
เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมได้ (break out) กราฟก็จะกลับมาวิ่งแรงอีกครั้ง

อธิบายแบบง่ายๆ คือ รอให้ราคาซื้อราคาขายวิ่งในกรอบสามเหลี่ยมจากกว้างแล้วบีบตัวไปแคบ
ทะลุได้เมื่อไหร่แล้วค่อยพิจารณาซื้อขาย (การทะลุได้ คือการระเบิดที่เกิดจากการบีบตัวของราคาซื้อราคาขายนั่นเอง)

ถามตอบท้ายบทเรียนที่ 3 : ฝึกลากรูปแบบต่างๆ
มีรูปแบบต่างๆเกิดได้ทุก TF เลยหรือเปล่าครับ แล้วมันมีโอกาสที่จะไม่เป็นไปตาม patterns ไหมครับ
เกิด ได้ทุก TF ครับ ถ้าไม่มีการเกิดรูปแบบพวกนี้ กราฟก็จะวิ่งขึ้นลงแบบง่ายๆ ครับ แต่ถ้ากราฟเกิดรูปแบบพวกนี้เมื่อใดคือการสะสมแรง ทะลุรูปแบบพวกนี้ได้เมื่อใดเป็นการยืนยันกลับมาวิ่งอีกครั้ง จะเห็นรูปแบบพวกนี้เสมอๆครับ เหมาะสำหรับหาจังหวะที่จะเข้าเทรด แต่เมื่ออยู่ในกรอบรูปแบบพวกนี้ควรรอก่อน
ผม มีข้อสงสัยอยู่นิดหน่อยอ่ะครับ คือว่า การฝึดขีดเส้นนี้อ่ะครับ คือ ผมอยากทราบว่าเราจะขีดเส้นตรงไหน ถึงจะมองแนวโน้มของปัจจุบันออกอ่ะครับ คือ ดูจากกราฟที่ท่านอาจารย์  the_greenday ให้มา เหมือนจะขีดเส้นของเก่าที่ผ่านมาแล้วอ่ะครับ แล้วถ้าผมอยากมองแนวโน้มของปัจจุบันนี้ ผมครวจะเริ่มตรงไหนเหรอครับ อืม.. แล้วเล่นสั้นกับยาวนี้ขีดเส้นเหมือนกันไหมครับ หรือว่าต่างกันยังไงอ่ะครับ
บทเรียนที่ 4 : วัฎจักรของกราฟ
เวลาทำการในตลาด forex
ตลาด Australian Dollar (AUD) เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 5.00 – 13.00 น.
ตลาด Japanese Yen (JPY) เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 7.00 – 14.00 น.
ตลาด Euro (EUR) เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 13.00 – 21.00 น.
ตลาด Swiss Franc (CHF) เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 13.00 – 21.00 น.
ตลาด British Pound (GBP) เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 14.00 – 22.00 น.
ตลาด US Dollar (USD) เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 19.00 – 3.00 น.


บทเรียนที่ 5 : เครื่องมือช่วยการยืนยัน

เครื่องมือช่วยการยืนยัน #1 MACD

เครื่องมือช่วยการยืนยันตัวแรกเริ่มด้วย MACD
เรียกเต็มๆ ว่า Moving Average Convergence Divergence

MACD สามารถบอกแนวโน้มได้ บอกการเกิด overbought, oversold และสามารถหาการเกิด divergence
ขอยกให้ MACD เป็นราชาแห่ง indicator ที่ใช้ได้ดีกับทุกช่วงเวลา

overbought คือ อยู่ในสภาพที่มีแรงซื้อมากเกินไป อิ่มตัวขาขึ้น แต่ไม่ใด้หมายความว่าเป็นจังหวะขายเสมอไป
เพราะการอิ่มตัวขาขึ้น กราฟอาจจะวิ่งต่อได้

oversold คือ อยู่ในสภาพที่มีแรงขายมากเกินไป อิ่มตัวขาลง แต่ไม่ใด้หมายความว่าเป็นจังหวะซื้อเสมอไป
เพราะการอิ่มตัวขาลง กราฟอาจจะวิ่งต่อได้เหมือนกัน

MACD คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หากำลังแนวโน้มของทิศทางว่ามีพลังมากน้อยแค่ไหน
ช่วยในการยืนยันของการมองกราฟอีกชั้น เพื่อความถูกต้องและน่าจะเป็นในทิศทางที่จะเกิดขึ้น

เครื่องมือช่วยการยืนยัน #2 RSI
RSI เรียกเต็มๆว่า Relative Strength Index
เป็น เครื่องมือบอกถึงความแข็งแกร่งและบอกการเกิดแนวโน้ม บอกการเกิด overbought (อิ่มตัวขาขึ้น), oversold (อิ่มตัวขาลง) บอกการเกิด divergence ได้เช่นกัน RSI เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากเช่นกัน โดยจะแนะนำให้ใช้ค่าเดิม RSI (14)
การดูเส้น RSI ดูที่ระดับ 30 กับ 70
- ต่ำกว่าเส้น 30 คืออยู่ในเขต oversold ช่วงอิ่มตัวขาลงเป็นช่วงแรงขายมาก
แต่บางครั้งถ้าแนวโน้มยังคงเป็นขาลงก็ยังไม่สามารถซื้อได้ถ้าแนวโน้มยังลงอยู่
- เหนือกว่าเส้น 70 คืออยู่ในเขต overbought ช่วงอิ่มตัวขาขึ้นเป็นช่วงแรงซื้อมาก
แต่บางครั้งถ้าแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นก็ยังไม่สามารถขายได้ถ้าแนวโน้มยังขึ้นอยู่

 เครื่องมือช่วยการยืนยัน #3 Moving Average
Moving Average คือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
ในที่นี้จะแนะนำ EMA หรือเรียกว่า Exponential Moving Average
โดยเส้น EMA50 ผู้ใช้ได้ทดลองใช้แล้วคิดว่าลงตัวและใช้ได้ดี
(ส่วนใครอยากทดลองใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน โดยมองด้วยตาแล้วคิดว่าลงตัวและเหมาะกับนิสัยที่เราเทรด)
เส้น ค่าเฉลี่ยสามารถบอกได้ถึง จุดซื้อ จุดขาย จากการยืนเหนือเส้นและใต้เส้น และการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นบอกการซื้อและขาย สามารถบอกได้ถึงแนวรับ แนวต้าน เมื่อวิ่งมาชนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

วิธีใช้ EMA
กราฟราคายืนเหนือเส้น EMA50 = buy
กราฟราคายืนใต้เส้น EMA50 = sell

ช่วงเกิด sideways เส้น EMA50 จะเกิดการหลอก (งดดูช่วงนี้) ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้ EMA50 ยืนยัน
เครื่องมือช่วยการยืนยัน #4 Fibonacci Retracement
เครื่องมือที่ช่วยหาเป้าหมาย fibonacci retracementสามารถบอกได้ถึงระดับช่วงพักตัวและการหาเป้าหมาย โดยจะแบ่งเป็นช่วงๆได้ดังนี้
ช่วงจุดพักตัว ระดับของ fibonacci มักจะอยู่แถวๆระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6
ทั้ง 5 ระดับนี้มักจะเป็นจุดแนวรับ แนวต้านที่ดีของการพักตัว (ทั้งระดับขาขึ้นและขาลง)

fibonacci ใช้หาเป้าหมายในอนาคตนั้น มักจะอยู่แถวๆระดับ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ
ผมได้ทดลองใช้มานานพอสมควร จึงแนะนำว่ามีแค่สองหลักง่ายๆแค่นี้ครับ มองระดับการพักตัว และมองหาเป้าหมายตามที่บอก
วิธีการลาก fibonacci retracement
- หาแนวโน้มขาลงให้ลากจากต่ำสุดไปหาสูงสุดของแนวโน้มอดีต (ที่จบแนวโน้มนั้นแล้ว)


- หาแนวโน้มขาขึ้นให้ลากจากสูงสุดลงมาต่ำสุดของแนวโน้มอดีต (ที่จบแนวโน้มนั้นแล้ว)

MACD หรือ Moving Average Convergence Divergence

เกิด ขึ้นจากการนำ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average-->อ่านเรื่อง Moving Average อีกกระทู้นึงครับ) มาใช้เพื่อดูกำลังของทิศทางว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด

การอ่านความ หมายของ MACD เราจะดูจากการตัดกันของเส้น MACD (สีแดง) และเส้น Signal (สีฟ้า) ตามรูปเมื่อเส้นสีแดงตัดเส้นสีฟ้าลง (ตัดจากบนลงล่าง) และมีแถบดำต่ำกว่า 0 จะเป็นสัญาณในการเข้า Short sell (ลูกศรแดง) และในทางกลับกันเมื่อตัดขึ้น (ตัดจากล่างขึ้นบน) และเกิดแถบดำเหนือ 0 จะเป็นสัญญาณในการ Buy (ลูกศรน้ำเงิน)

ดูรูปประกอบครับ






.
Moving Average แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย


แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average
         นับเป็นเครื่องมือสำคัญ เครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น รวมถึงจุดที่เปลี่ยนแนวโน้ม เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย รวมถึงแนวรับแนวต้าน ของราคาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ
ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของหุ้นตัวนั้น ว่าการกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด
โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
  5   วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

ซึ่งจำนวนวันเหล่านี้จะเป็นตัวบอกถึงราคาต้นทุนเฉลี่ยของคนที่ถือหุ้นมาแล้วในช่วงระยะเวลา แตกต่างกันเช่น
ปัจจุบัน ราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่า มีคนที่ถือหุ้นในช่วง 25วันที่ผ่านมา หรือนักลงทุนระยะกลางที่ยอมถือหุ้นนานกว่า 1 เดือน มีต้นทุนต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน  ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ ยังมองว่าหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นตราบที่ราคาหุ้นยังยืน เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน

ดังนั้นการหาสัญญาณ ซื้อหรือขายหุ้นจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

สัญญาณซื้อ คือ
  • เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
  • เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
     เรียกว่า (Golden cross)
สัญญาณขายคือ
  • เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามฤฤฉช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
  •  เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
        เรียกว่า (Dead cross)

       ดังในภาพจะเห็นว่า ดัชนี SET index ปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย  5 วัน (สีเขียว) 10วัน(สีแดง) และ 25วันสีฟ้า นับแต่ต้นเดือนเมษายน หรือ (4/2 จากตารางกราฟ) ซึ่งจะเห็นว่าเกิดแรงขายจากนักลงทุนระยะสั้น บางครั้งเมื่อหุ้นต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 5วัน แต่เมื่อราคาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 10วัน หุ้นจะสามารถเด้ง กลับได้หาก นักลงทุนระยะ 10วันยังมองว่า หุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อถึงระดับดังกล่าว จะมีแรงซื้อ ซ้ำเพราะราคาหุ้นยังถูกอยู่กว่าราคาในอนาคต    ส่วน นักลงทุนระยะกลาง เช่น 25วัน จะยังคงถือหุ้น ตราบที่ SET index ไม่หลุด 730 จุด ดังที่เห็นในกราฟเป็นต้น
   ซึ่งตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าบางครั้ง การซื้อขายระยะสั้น ตามสัญญาณ 5 วัน และ 10วันอาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการถือระยะยาวเป็นรอบ จากการดูเส้นค่าเฉลี่ยที่ยาวขึ้น แต่อย่างไร เส้นค่าเฉลี่ย ไม่มีกำหนดตายตัวว่า ค่าไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับนิสัยหุ้นตัว นั้น สภาวะตลาดโดยรวม
    ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการถือครองหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวเลือกด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยจาก จำนวนวันที่ต่างๆกัน แต่ ความแม่นยำ นั้นอาจขึ้นจากนิสัยของหุ้นตัวนั้น หรือ ผู้ที่ลงทุนในหุ้นตัวนั้นส่วนมาก เขาใช้เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร และแบบใด
    ส่วนจุดอ่อนของการใช้เส้นค่าเฉลี่ย อาจเกิดขึ้นได้ หากหุ้นในช่วงนั้น เป็นลักษณะ Side way หรือแกว่งตัวในกรอบนานๆ อาจจะทำให้เส้นพันไป มา จึงเกิดทั้งสัญญาณหลอก ให้ ซื้อขาย ได้บ่อย  ก็ได้ ดังนั้น เส้นค่าเฉลี่ยนั้นจะเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในช่วงตลาดที่ มี Trend หรือแนวโน้ม
 ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ย
ประเภท ของเส้นค่าเฉลี่ย มีด้วยกันหลายแบบ ซึ่ง ผู้ลงทุนอาจจะใช้ราคา เปิด หรือ ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด หรือ ราคาเฉลี่ย มาเป็นตัวกำหนด สำหรับ การหาค่าเฉลี่ยก็ได้ ซึ่ง ส่วนใหญ่ที่ เราใช้อยู่ทั่วไป จะนำราคาปิดของหุ้นในแต่แท่งเทียน มาเป็นข้อมูลสำหรับการคำนวนค่าเฉลี่ย ดังเช่น

การหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบธรรมดา (SMA, Simple Moving Average)
เส้นค่าเฉลี่ยแบบธรรมดา มาจากการหาค่าเฉลี่ยราคาหุ้น ในช่วงเวลาที่กำหนด เป็น N วัน
SMA คำนวณมาจาก
SMAt = 1/N(Pt+..........+Pt-N+1)
โดย P = ราคา
       T = วัน t
       N = จำนวนวันในค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 

ส่วนการหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบ EMA (Exponential Moving Average)
   นั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น

 ซึ่งวิธีนี้เป็นการพยายามแก้ไขข้อ บกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา
หลักการคำนวนคือ
 ขณะ ที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT  โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ

 EMA   =   EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
 เมื่อ EMAt  คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
 EMAt-1   คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
 SF  คือ  ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
 Pt  คือ  ราคาปัจจุบัน
 n คือ  จำนวนวัน

*  หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA
    ซึ่งทั้ง EMA และ SMA นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็จะเลือกใช้แบบใด แบบหนึ่ง จากทั้งสองแบบนี้ เพียงแต่ อาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการวิเคราะห์
•     โดยการวิเคราะห์ แบบ SMA นั้นจะเห็นได้การเคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย มักจะช้ากว่า EMA ซึ่งการหาสัญญาณ ซื้อขายจากการตัดของเส้น EMA จะแม่นยำกว่า

•      ส่วนการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ยนั้น SMA จะดีกว่า เนื่องจากเป็นการคำนวน ฐานต้นทุนของนักลงทุนที่แท้จริง จึงทำให้บ่อยครั้ง เป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ

•     ส่วนหุ้นบางตัวนั้น อาจจะวิเคราะห์ด้วย EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA นั้นขึ้นอยู่กับ ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่ของตัวนั้น จะใช้ เส้นอะไร ดู เพราะจากมุมมองที่เหมือนกัน จึง ทำให้เกิดสัญญาณ ที่เหมือนกัน จนเป็น ความแม่นยำที่เกิดขึ้นก็เป็นได้


 



ขอบคุณที่มาของข้อมูล   = = =>  http://www.investorchart.com...

Ichimoku Kinko Hyo บอก Trend แนวรับ แนวต้าน

อินดิเคเตอร์บอก Trend และแนวรับแนวต้านขั้นเทพ Ichimoku Kinko Hyo

ขอบคุณที่มาของข้อมูล  ====>  http://syscata.wordpress.com
เคย มั๊ยครับ ที่เวลาคุณเทรดหุ้นด้วย MT4 แล้วคุณก็ทดลองเปิดอินดิเคเตอร์ไปเรื่อยๆ ดูว่าตัวไหนเป็นอย่างไร ตัวไหนน่าใช้บ้าง ปรากฏว่า คุณดันไปเจออินดิเคเตอร์ตัวหนึ่ง มีเส้นอะไรก็ไม่รู้ยั้วเยี้ยไปหมด ดูไม่รู้เรื่องเลย ถึงแม้ว่าจะพยายามทำความเข้าใจกับมัน โดยนั่งมองดูมันไปเรื่อยๆ สุดท้ายคุณก็ปิดมันไป โดยที่คิดไว้ในใจว่า “อินดิเคเตอร์อะไรวะดูไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยวุ้ย -3- ” แต่ผมจะบอกคุณว่า อินดิเคเตอร์ที่มีหน้าตาไม่ค่อยรับแขกตัวนี้ มีอะไรดีๆ ที่ผมจะพาทุกท่านไปล้วงความลับของอินดิเคเตอร์ตัวนี้ ที่ทำให้คุณได้อึ้ง ทึ่ง และเขียว ไปพร้อมกันครับ ขอเชิญพบกับแขกรับเชิญของเราในวันนี้ได้เลยครับ Ichimoku Kinko Hyo

วิธีการใส่อินดิเคตอร์ตัวนี้ลงไปในกราฟของ MT4 ก็ง่ายๆ ครับ คลิ๊กเพิ่ม อินดิเคเตอร์ เลือก Oscillators > Ichimoku Kinko Hyo
สำหรับ การตั้งค่านั้น ในตัวอย่างของผมจะตั้ง Tenkan-sen : 7 , Kijun-sen: 22 , Senkou Span B: 44 จากนั้นเมื่อใส่อินดิเคเตอร์ลงในกราฟแล้ว คุณจะเห็นว่า จะมีเส้นอยู่ 5 เส้น คือ
1. Tenkan-sen 2. Kijun-sen 3. Chinkou Span 4. Senkou Span A 5. Senkou Span B

ผมจะอธิบายวิธีการวิเคราะห์ของแต่ละเส้นก่อน โดยจะมีรูปตัวอย่างให้ดูด้วย จากนั้นค่อยวิเคราะห์รวมทั้ง 5 เส้นกัน
1. Tenkan-sen  (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)


Tenkan-sen
เส้นนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆ เส้น Fast MA คือเส้น Moving average ที่มี Period น้อย ในหลักการ MA Cross
หลักการวิเคราะห์
เมื่อ ราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น Tenkan-sen และ Tenkan-sen มีความชันเป็นลบ แสดงถึงสภาวะตลาดหมี และเมื่อราคาอยู่สูงกว่าเส้น Tenkan-sen และ Tenkan-sen มีความชันเป็นบวก แสดงถึงสภาวะตลาดกระทิง

2. Kijun-sen (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

Kijun-sen
เส้นนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆ เส้น Slow MA คือเส้น Moving average ที่มี Period มากกว่า ในหลักการ MA Cross
หลักการวิเคราะห์
เช่น เดียวกับเส้น Tenkan-sen เมื่อราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น Kijun-sen และ Kijun-sen มีความชันเป็นลบ แสดงถึงสภาวะตลาดหมี และเมื่อราคาอยู่สูงกว่าเส้น Kijun-sen และ Kijun-sen มีความชันเป็นบวก แสดงถึงสภาวะตลาดกระทิง และในส่วนของเส้น Kijun-sen ที่มีความชันเป็นศูนย์ หรือช่วงที่เส้นขนานกับแนวนอน ในช่วงใดๆ สามารถนำราคาช่วงนั้นมาเป็นแนวรับหรือแนวต้านได้ ยิ่งช่วงที่เส้น Kijun-sen ที่มีความชันเป็นศูนย์ มีความยาวมากเท่าไหร่ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวรับหรือแนวต้าน ตรงช่วงราคานั้นมากเท่านั้น

เมื่อนำ Tenkan-sen และ Kijun-sen มาอยู่ด้วยกัน

Tenkan-sen + Kijun-sen
ลักษณะของมันก็จะคล้ายๆ กับใช้ MA สองเส้นเลยทีเดียว จะสังเกตเห็นว่า ราคาจะชนเส้น Kijun-sen ที่มีความชันเป็นศูนย์บ่อยๆ แสดงให้เห็นว่า เส้น Kijun-sen สามารถใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้ และเมื่อราคาอยู่ในช่วงระหว่างเส้น Tenkan-sen และ Kijun-sen จะเห็นว่าสภาพตลาดมีลักษณะไซด์เวย์
3. Chinkou Span  (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

Chinkou Span
สำหรับเส้น Chinkou Span นี้ไม่มีอะไรมากเป็นเพียงเส้น MA 1 ของราคาปัจจุบันที่ถูก shift ไปอยู่ในอดีต เพื่อศึกษาอดีตมาพยากรณ์ปัจจุบัน
หลักการวิเคราะห์
จากรูปจะเห็นว่า เมื่อเส้น Chinkou Span ตัดกราฟราคาในอดีตขึ้น สะภาพตลาดจะอยู่ในตลาดกระทิง ในทางกลับกัน ถ้าเกิด Chinkou Span ตัดกราฟราคาในอดีตลง สะภาพตลาดจะอยู่ในตลาดหมี

4. Senkou Span A + 5. Senkou Span B  (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

Senkou Span A&B (เมฆ)
สำหรับสองเส้นนี้เราจะใช้คู่กันไป จากที่เห็นในช่วงที่เป็นสีระหว่างทั้งสองเส้นนั้น เราจะเรียกมันว่าเมฆ เจ้าเมฆนี่จะยื่นออกไปข้างหน้าในอนาคตที่ยังไม่เกิด เพื่อทำนายสะภาพตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
หลักการวิเคราะห์
เมื่อราคาอยู่เหนือ เมฆหมายถึงสะภาพตลาดกระทิง เมื่อราคาอยู่ใต้เมฆหมายถึงสะภาพตลาดหมี และเมื่อราคาอยู่ในเมฆหมายถึงสะภาพตลาดไซด์เวย์ และเราสามารถใช้ เมฆเส้น Senkou Span B ที่มีความชันเป็นศูนย์คือเป็นเส้นตรงในแนวราบ แทนแนวรับแนวต้านได้เช่นเดียวกับ Kijun-sen แต่จะมีนัยสำคัญน้อยกว่าเส้น Kijun-sen
เช่นเดียวกับเส้น Kijun-sen ยิ่งมีความยาวของเส้นในแนวราบมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งของแนวรับแนวต้านช่วงราคานั้นยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จากรูปเมื่อเมฆมีการบีบตัวให้แคบลง เราสามารถคาดการณ์ได้ว่า เทรนปัจจุบันกำลังจะเปลี่ยนแล้ว

เมื่อรู้จักทุกส่วนของ Ichimoku Kinko Hyo กันแล้ว จากนี้ผมจะนำทุกส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน และจากนั้นเราจะมาดูวิธีการเข้าทำกำไรกันครับ

Ichimoku ภาพที่ 1
หลักการเขาทำกำไร (วิธีที่ผมใช้)
-เปิด Long Position เมื่อ
ราคา เปิดเหนือเส้น Kijun-sen และเส้น Chinkou Span อยู่เหนือกว่าราคาในอดีต 22 ช่วงจากปัจจุบัน และถ้าเข้าเมื่อราคาปิดเหนือ Kijun-sen ไม่ทัน คุณสามารถ เปิดได้อีกครั้งเมื่อ ราคาเปิดเหนือเส้น Senkou Span B (เมฆ) และเส้น Chinkou Span อยู่เหนือกว่าราคาในอดีต 22 ช่วงจากปัจจุบัน
-เปิด Short Position เมื่อ
ราคา เปิดใต้เส้น Kijun-sen และเส้น Chinkou Span อยู่ใต้ราคาในอดีต 22 ช่วงจากปัจจุบัน และถ้าเข้าเมื่อราคาเปิดใต้ Kijun-sen ไม่ทัน คุณสามารถ เปิดได้อีกครั้งเมื่อ ราคาเปิดใต้เส้น Senkou Span B (เมฆ) และเส้น Chinkou Span อยู่ใต้ราคาในอดีต 22 ช่วงจากปัจจุบัน

สำหรับการตั้ง TP และ SL นั้น เราสามารถใช้แนวรับแนวต้านต่างๆ ที่เส้น Kijun-sen และเส้น Senkou Span B ทำเอาไว้เป็นTP ได้ ส่วน SL นั้นเราต้องตั้ง ให้อยู่เลยแนวรับแนวต้านไปซัก 5-8 จุด เพื่อป้องกันการง้างธนู (ย้อนกลับมาเด้งแนวรับแนวต้านอีกที เพื่อเอาแรงก่อนจะพุ่งด้วยแรงมหาศาล) เพราะว่าชื่อก็บอกว่าแนวรับแนวต้าน ยังไงราคามันก็ต้องมาชนอยู่ดี
เอาล่ะเรามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากภาพที่ 1 ดีกว่า

Ichimoku ภาพที่ 2
จะเห็นว่าเข้าเงื่อนไขการเปิด Long Position ณ จุดที่ผมวงกลมไว้ และ TP กับ SL จะอยู่ ในส่วนที่ผมขีดเส้นไว้ จะเห็นว่าส่วนนั้นเป็นส่วนที่ สองเส้นสำคัญ Kijun-sen และเส้น Senkou Span B ได้มีการสร้างแนวรับแนวต้านเอาไว้ จากระยะครั้งนี้ ถ้าเข้าซื้อคุณสามารถทำกำไรได้ 20 จุด
หวังว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์กับหลายๆ คนนะครับ และต้องขอขอบคุณ kharvell หรือ Kevin แห่ง Forexfactory ที่บทความของเขาเรื่องวิธีใช้ Ichimoku Kinko Hyo นั้นทำให้ผมเขาใจอินดิเคเตอร์ตัวนี้ได้มากขึ้น ต้องบอกว่าถ้าคุณอ่านบทความของเขาได้ จะดีกว่าอ่านบทความนี้ที่ผมเขียนซะอีก เพราะเขาอธิบายละเอียดมาก มีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ได้เขียนไว้ เนื่องจากมันเยอะมากผมจึงอธิบายแค่คล่าวๆ ยังไงซะ แค่นี้ก็อาจจะทำให้หลายๆ คนพอจะเข้าใจอินดิเคเตอร์ตัวนี้ขึ้นมาบ้างล่ะ และขอให้รู้ตัวไว้เลยนะว่า ตอนนี้คุณเทพแล้ว เพราะว่าคุณสามารถเข้าใจอินดิเคเตอร์ขั้นเทพตัวนี้ได้ ฮาฮ่า
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมมีรางวัลให้ครับ เป็นตัวสัญญาณเตือนที่ผมทำเองเอาไว้เตือนเมื่อเข้าเงือนไข กด เลยครับ และอย่าลืมมาเล่าให้ผมฟังบ้างนะครับ ว่าใช้ระบบนี้แล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง
สวัสดี


เทคนิคการใช้ Trailing Stop เพื่อตัดขาดทุนและรักษากำไรในการเล่นหุ้น



สอนวิธีการใช้ Trailing Stop เพื่อตัดขาดทุนและรักษากำไรในการเล่นหุ้น ด้วยวิธีง่ายๆและมีประสิทธิภาพ





เวลาตลาด FOREX ทั่วโลก


ForexProsThe Rates are Powered by Forexpros - The Forex Trading Portal